เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ส.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระ พระผู้ประเสริฐ พระในหัวใจของเรา พระ.. มีแต่ศาสดานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระพุทธเจ้า เป็นเจ้าของศาสนา เป็นรื้อค้น

เวลาพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ เวลาพวกโยมบอกว่า เอ้า.. พระพุทธเจ้าก็บอกเอง พระพุทธเจ้าบัญญัติเอง อวดอุตตริมนุสสธรรม ห้ามทำๆ เวลาพวกเดียรถีย์มาท้าทาย พระพุทธเจ้ารับท้าเลย แล้วบอกว่าพระพุทธเจ้าทำได้อย่างไร

“เอ้า.. ก็เราเป็นเจ้าของสวนมะม่วง เราไม่ให้ใครกินมะม่วงในสวนเรา แต่เราเป็นเจ้าของ เราเก็บกินเองได้ไหม”

นี่เหมือนกัน ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงได้ แสดงเพื่ออะไร แสดงเพื่อปราบทิฏฐิมานะพวกลัทธิต่างๆ พวกเดียรถีย์ที่มันอวดดีไง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา สร้างบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา นี่พระของเรา

พระในบ้านของเราคือพ่อแม่ของเรา ความกตัญญูกตเวที พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แล้วพระในตัวของเราล่ะ? เราต้องหาพระในตัวของเรานะ นี่ “โอปนยิโก” เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม นี่ “อกาลิโก” ไม่มีกาล ไม่มีเวลา จะ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วก็จริงอยู่ จะอีก ๕,๐๐๐ ปีข้างหน้า พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ธรรม นี่ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันตีกินไง ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม

วิทยาศาสตร์ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างมีอยู่แล้ว

..มันมีอยู่แล้ว มีอยู่โดยกิเลสไง ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์แล้วรื้อค้นน่ะ ไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ ศึกษากับเขามาขนาดไหน ทำขนาดไหน เขาเยินยอขนาดไหน ไม่เชื่อทั้งนั้นน่ะ นี่เอาใจของตัว.. เอาจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นเข้าไปในจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซะเอง.. บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณมันทำลายใจ “จิตแก้จิต”

เขาบอก “เอาจิตแก้จิตไม่ได้ เอาจิตหาจิตไม่ได้..”

ถ้าเอาจิตหาจิตไม่ได้ เอาจิตหาจิต มันต้องจิตตภาวนา เอาจิต.. ใจแก้ใจ หนามยอกเอาหนามบ่ง แต่! แต่ต้องทำให้ถูกต้อง แต่ถ้าทำไม่ถูกต้อง จิตของตัวเองก็ไม่เข้าใจ ตัวเองไม่รู้จักจิตของตัวเอง เอาขันธ์ เอาอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปค้นหา เขาคิดว่าเป็นจิตไง ละเมอเพ้อพกกันไปเอง ตัวเองละเมอเพ้อพก เพ้อเจ้อ แล้วไปว่าคนอื่นเข้าใจผิด เพราะตัวเองเข้าไม่ถึง

“อกาลิโก” ไม่มีกาล ไม่มีเวลา อยู่ที่คนทำจริง อยู่ที่เรามีวิริยะอุตสาหะ อยู่ที่ความเป็นจริงของเรา ถ้าเราทำจริงของเรา มันจะมีอยู่กับเราตลอดเวลา มี..ของมีอยู่ ของเป็นไปได้ แต่มันอยู่ที่เราน้อยเนื้อต่ำใจ เราอ่อนแอ เราไม่กล้า

เวลาเราพูดถึง ทุกคนจะถามเลย “วิมุตติสุข มันสุขอย่างไร?” สุขเวทนา-ทุกขเวทนาเป็นเวทนา วิมุตติสุข สุขที่ไม่ใช่เวทนา มันเป็นสุขอย่างไร?

นี่สุขเวทนา.. อามิส สิ่งใดๆ ที่เราได้รางวัล ได้ตำแหน่งได้หน้าที่ ได้ทุกอย่างมา โอ้โฮ.. ดีใจมาก นั่นน่ะ “สุข” เห็นไหม “สุขจากอามิส” แต่มันสุขในตัวมันเอง ความสุขที่หาได้ในหัวใจ ความสุขความสงบในใจของเรา ความสุขที่หาได้จากในใจของเรา ไม่เป็นอามิส

แล้วสุขจากในใจของเรา แล้วเราเอาอะไรไปค้นหามันน่ะ?

แล้วบอกว่า “จิตค้นหาจิตไม่ได้”

“จิตค้นหาจิต” เอาจิตค้นหา! เอาจิตค้นหานะ เอาจิตค้นหาเพราะอะไร เพราะถ้าเราไม่เอาความรู้สึกของเรา เอาสัจธรรมความจริงเข้าไปค้นหา มันจะเข้าไปค้นหาจิตได้อย่างไร? ค้นหาจิต ถ้าเจอจิตของตัวเอง ถ้าเจอตรงนั้น ความสุขที่หาได้จากภายใน ความสุขหาได้จากที่นี่ นี่ผู้ประเสริฐ

พระในใจของเรา ถ้าเราแก้ที่นี่ไม่ได้ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ด้วยทางโลกเป็นพระอรหันต์ของลูก ความกตัญญูกตเวทีมันเป็นเครื่องแสดงออกของคนดี มันเป็นความดีทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าปรมัตถธรรม เวลาทุกข์ก็ทุกข์ของแต่ละบุคคลนะ พ่อแม่ลูกต่างๆ ก็ได้แต่ปลอบประโลมกัน ได้ให้กำลังใจกันเท่านั้นเอง เวลามันเกิดขึ้นมาน่ะ ความชราภาพ ความคร่ำคร่าเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่ธรรมดานะ ธรรมดามันเป็นของมันอย่างนั้น

แต่ถ้าธรรมดาของเรา ทำไมวงการแพทย์ ดูสิ พวกทำศัลยกรรมทำไมมันรวยมหาศาลน่ะ แล้วธรรมดา ทำไมเขาไม่ปล่อยเป็นธรรมดาล่ะ เขาฝืนมันทำไมกันน่ะ นั่นเขาฝืนแบบโลกๆ ใช่ไหม ไอ้นี่เราฝืนแบบธรรม ฝืนแบบธรรมนะ ถ้าเราไม่ฝืนนะ มันไหลไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันจินตนาการของมันไปเรื่อย

“จินตมยปัญญา” พอจินตมยปัญญามันไปของมัน บอกเลยบอกว่า หยุด! คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดความคิด..

หยุดไม่ได้! จิตมันหยุดไม่ได้ จิตมันหยุดไม่ได้ โดยธรรมชาติของมันหยุดไม่ได้ มันหยุดไม่ได้ มันต้องตามมันไป.. นี่ไง ไหลตามมันไป อย่างนี้แล้วหยุด อาศัยความคิดคืออาศัยดูแลมันไป.. มันเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้นเลย!

หยุดได้! ถ้าหยุดไม่ได้เอกัคคตารมณ์มันมีได้อย่างไร? เวลาวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น.. ตั้งมั่นอย่างไร? ถ้าจิตตั้งมั่นมันหยุดไม่ได้ สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วมันหยุดนิ่งของมัน จะมีพลังงานมากขนาดไหน จิตที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด ดูสิ เวลามันหยุดของมัน หยุด! มันความเข้าใจ

บอกว่า“จิตนี้หยุดไม่ได้ มันเป็นสันตติ มันไม่เป็นนิรันดร์..”

มันเพ้อเจ้อ! เพ้อเจ้อภาษาคนที่ไม่เห็นจริงไม่รู้จริง นี่เป็นความจริง ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริง แล้วได้ตามความเป็นจริง “จิตค้นหาจิต” จิตตภาวนา จิต ความเป็นไปของมันตามความเป็นจริงของมันทั้งหมด แต่มันต้องทำให้ถูกต้อง ทำตามความถูกต้อง ถูกต้องที่ตรงไหน?

มัชฌิมาปฏิปทา ความเป็นกลาง ความเป็นกลางคือตามไปเฉยๆ นี่ออกไป จะกดนักก็ไม่ได้ จะปล่อยนักก็ไม่ได้ ความเป็นกลาง.. ก็กลางแบบขี้ลอยน้ำไง กลางแบบไม่รับผิดชอบสิ่งใดๆ เลย.. ความเป็นกลางของพระพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนี้! อัตตกิลมถานุโยค-กามสุขัลลิกานุโยค เห็นไหม ความเป็นกลาง ความเป็นกลางแบบผู้ที่มีปัญญา แยกแยะผิดถูกเป็น

ไม่ใช่ความเป็นกลางแบบ.. “มันจะเป็นกลาง มันจะเป็นเอง..”

อีกชาติหน้า! อีกร้อยชาติ! มันเป็นไปไม่ได้หรอก!

ถ้ามันเป็นกลาง ดูตะกอนก้นแก้วสิ มันจะหมดไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้หรอก สสารมันแปรสภาพของมันไปตลอดเวลา ธรรมชาติแปรปรวนตลอดเวลา.. ธรรมะเป็นธรรมชาติมันก็แปรปรวน ธรรมะมันก็พาเกิดพาตายนั่นน่ะ.. มันเป็นไปไม่ได้หรอก

“อกาลิโก” ไม่มีกาล ไม่มีเวลา แต่ต้องทำถูกต้อง ทำความถูกต้องนะ

เรานี่สะเทือนใจเราเอง “สันทิฏฐิโกนะ” รู้จำเพาะตน

“ปัจจัตตังเลย” เข้าไปเผชิญเลย

นี่เวลาสัจจะความจริง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะรื้อค้นออกมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตีแผ่ได้อย่างไร แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนั่นน่ะ นั่นน่ะ ตีแผ่! เผยแผ่ศาสนา “บันลือสีหนาท” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม “บันลือสีหนาท” พระเทศน์ธรรมจักร เทวดา อินทร์ พรหม ส่งต่อๆ เป็นชั้นๆ เลย จักรมันเคลื่อนไปแล้ว ไม่มีใครจะตีกลับได้ ไม่มีใครจะหมุนกลับได้.. ไม่มี! พระศรีอริยเมตไตรยก็จะหมุนจักรของท่าน ครูบาอาจารย์ต่างๆ ก็จะหมุนจักรของท่าน

จักรของท่านมันจะหมุนได้อย่างไร ถ้าไม่มีแกน ไม่มีที่ตั้งของจักร จักรจะหมุนที่ไหน ในเมื่อหัวใจมันเป็นสัจธรรมขึ้นมาแล้ว ใจมันเป็นแล้ว มันหมุนออกไปคือการแสดงออกไป กิริยาของธรรม นี่ในกิริยาของธรรมมันหมุนออกไปจากใจ ใครจะไปเอาคืน ใครจะหมุนกลับได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหมุนกลับเพราะอะไร? เพราะว่าใจอันนั้นมันสิ้นกิเลสแล้ว ใจอันนั้นมันเป็นสัจจะความจริงอันนั้น ธรรมมันออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ไง

ไม่ได้ธรรมออกมาจากความด้นเดาของเรา แต่อ้างอิงธรรมะของพระพุทธเจ้า “มันจะเป็นอภิธรรมข้อนั้นๆ เหมือนกัน ลงกันได้เลย”

ลงกันได้.. เงินใครก็ลงกันได้ทั้งนั้นน่ะ มันลงกันได้เพราะอภิธรรมไง ก็มันอภิธรรมล้วนๆ น่ะ

เขาว่า “ลงกันได้พอดีกับอภิธรรมเลย ลงกันได้กับธรรมะของพระพุทธเจ้าเลย.. ลงกันได้..”

ลงกันได้แต่อ้างน่ะ อ้างว่าเหมือนน่ะ ผิดคนหนึ่ง

แต่ถ้าเป็นพระสารีบุตร.. ไม่เชื่อ! ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า! ไม่เชื่ออะไรเลย! นี่ไม่ต้องลงกัน! ไม่ต้องลง! พระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้า! ไม่เชื่อ!

“เอ้า.. สารีบุตร เธอไม่เชื่อเราหรือ”

“โอ้โฮ.. ก่อนหน้านั้นที่ปฏิบัติ เชื่อมาก ก่อนหน้านั้น ศรัทธาความเชื่อ พระพุทธเจ้าสอนมา ทำไมจะไม่เชื่อ”

ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ลงกันก็ความเชื่อ เพราะเชื่อว่าลงกันได้ไง เพราะเชื่อว่าลงกันได้ใช่ไหม แต่ถ้าเป็นความจริงน่ะ ทำไมต้องลงล่ะ ทำไมต้องลง เพราะมันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นอันเดียวกัน นี่พูดถึงว่าถ้าไม่เป็นความจริงน่ะ มันจะอ้างอิงไปตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นความจริง ไม่ต้องอ้างอิง ไม่อ้างอิงเลย แต่เหมือนแล้วลงใจด้วย

ดูครูบาอาจารย์เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สิ หลวงปู่มั่นท่านเทิดทูนพระพุทธเจ้าขนาดไหน เทิดทูนมาก แล้วไม่อ้าง! เวลาหลวงปู่มั่นเทศนาว่าการ “แม้แต่พระพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้าก็ไม่ถาม”

แม้แต่พระพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้า.. สาธุ! ก็ไม่ถาม.. ไม่เคยถาม ไม่สนใจเลย เห็นไหม ไม่อ้างอิง! ไม่อ้างอิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ในขณะที่เทศน์ เทศนาว่าการ บาลีที่มาไง เทศน์มีที่มาที่ไป ที่มาที่ไปเป็นจากสภาวะที่มา อ้างอิงเป็นที่มาเฉยๆ แต่อ้างเพื่อจะให้ธรรมะในหัวใจนี้แสดงออกเท่านั้น ถ้าไม่อ้างอิงขึ้นมา แสดงออกขึ้นมา มันก็เหมือนกับว่าเราอวดอุตตริขึ้นมา ธรรมอันนี้เป็นไปตามอุตตริ.. ไม่ใช่! มันเป็นความจริงของเราที่เราจะเปิดออกมา แต่การเปิดออกมา ต้องมีที่มาที่ไป อ้างอิงเพื่อจะแสดงออกเท่านั้น

นี่เหมือนกัน ในการกระทำของเรา ในการปฏิบัติของเรา เราจะบอกว่า “สันทิฏฐิโก” มันเป็น “ปัจจัตตัง” ความรู้จำเพาะตนขึ้นมานี้ มันมีจริงของเราตลอดเวลานะ ความรับรู้ด้วยทางวิชาการ ศาสตราจารย์ทางวิจัยต่างๆ เขาทำหลักฐานของเขา สิ่งที่อ้างอิง พิสูจน์มาอย่างนั้น ถึงการกระทำอย่างนั้นเสร็จแล้วพิสูจน์ออกมาเป็นค่า นั้นถึงเป็นผลงานของโลก แต่หัวใจที่สัมผัส หัวใจที่มันรู้แล้วมันเป็นอริยสัจ

พระอรหันต์หลงลืมในอะไรบ้าง?

“พระอรหันต์หลงลืมในสมมุติบัญญัติ”

หลวงตาท่านให้พรพลาดๆ ตลอดเวลา.. “พระอรหันต์นะ หลงในสมมุติบัญญัติ” การให้พรนี่เป็นบัญญัติ บัญญัติที่มันเป็นบัญญัติพระพุทธเจ้า “พระอรหันต์หลงในสมมุติบัญญัติ” เพราะมันเป็น “สมมุติ”

แต่พระอรหันต์ไม่หลงในอะไร?

“ไม่หลงในอริยสัจ! ไม่หลงในสัจจะความจริงของตัว!”

มันหลงไม่ได้ มันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริงอันเดียวในใจอันนั้น มันเป็นความจริงหนึ่งเดียว.. ความจริงนี้ไม่มีหลง! มันเป็นของมันโดยธรรมชาติ มันเป็นอัตโนมัติ คำว่าเป็นอัตโนมัตินี่มันเป็นผล นี่มันบอกว่าเวลาปฏิบัติแล้วเป็นอัตโนมัติ อัตโนมัติที่เท่ากับเหตุคือไม่มี อัตโนมัติในการปฏิบัติ อัตโนมัติคือศูนย์ เพราะมันอธิบายไม่ได้ ถ้ามันอัตโนมัติของผลนะ ผลมันเป็นจริงแล้วน่ะ มันเป็นธรรมชาติของมัน

มันเป็นอัตโนมัติต่อเมื่อมันเป็นผล แต่มันจะไม่เป็นอัตโนมัติต่อเมื่อมันเป็นเหตุ

เหตุเป็นอัตโนมัติไม่ได้! เหตุมันต้องมีเหตุมีปัจจัยส่งเสริมกันมา ผลตอบสนองมันเป็นอัตโนมัติ อัตโนมัติมันเป็นความจริงของมันแล้วมันเป็นอัตโนมัติ มันรู้จริงเห็นจริง เป็นความจริงอันนั้น มันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นสิ่งที่คงที่ อัตโนมัติที่คงที่นะ “อกุปปธรรม” อฐานะที่จะแปรสภาพ อฐานะมันอิ่มเต็มของมัน อฐานะที่จะเติมสิ่งใดอีกได้ มันล้นหมด มันเป็นความจริงของมัน

อัตโนมัติเป็นอัตโนมัติที่ผล ไม่ใช่อัตโนมัติที่เหตุ

นี่ว่า “พอทำไปๆ มันจะเป็นอัตโนมัติ มันจะเป็นเอง” โอ้โฮ.. ฟังแล้วมันรับไม่ได้เลย

คือผิดหมด! คือความไม่จริง นี่พูดถึงสัจจะความจริงอันนั้นนะ แต่สัจจะความจริงของเรา “อกาลิโก” สิ่งที่เป็น “อกาลิโก” สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงอันนี้ เราประพฤติปฏิบัติ เราตั้งใจจริงของเรา มันจะเป็นความจริงของเรานะ ถ้าความจริงของเราแล้วความจริงอันนี้ “สันทิฏฐิโก” มันเอาออกมาให้ใครรู้ใครเห็นไม่ได้ แต่มันไม่ใช่ว่าพิสูจน์ไม่ได้นะ ผู้รู้ผู้เห็นน่ะ พูดเหมือนกัน แล้วถ้าผู้รู้ผู้เห็นน่ะ เรานะเอาหัวไปชนภูเขา แล้วบอกว่าตรงนี้ว่าง ไม่มีภูเขา มันเป็นไปได้ไหม? แต่คนอื่นเขาไม่เห็นน่ะ เขาก็ไม่รู้ของเขาใช่ไหม คนที่เอาหัวชนภูเขา ภูเขาทั้งลูกขวางเราอยู่แล้วบอกว่าสิ่งนี้ไม่มี มันเป็นไปได้ไหม?

ในการประพฤติปฏิบัติ หัวใจเข้าไปประสบ หัวใจเข้าไปสัมผัส หัวใจเข้าไปเผชิญหน้า แล้วบอกว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นได้ไหม แล้วถ้าเราเอาหัวชนภูเขา ใครเอาหัวไปชนภูเขา? หัวชนภูเขา.. พอชนภูเขา.. อืม.. เราชนมาแล้ว เหมือนกัน.. เราชนมาแล้ว

แต่คนที่ไม่เคยชนน่ะไม่รู้ ไม่รู้ไม่เห็นแล้วเพ้อเจ้อ “ตรงนี้มันว่าง ภูเขามันไม่มี มันผ่านไปได้สบายมาก”.. มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ไง รู้จริงเห็นจริงเขารู้กันอย่างนี้ ดูสิ คนรู้จริงน่ะ เอาหัวชนภูเขามาแล้วกันทั้งนั้น เอาหัวนี่ชนภูเขาแล้วถากถางทำมันมา เผชิญมันมา มันถึงเป็นความจริงขึ้นมา

ไอ้นี่.. คำพูดน่ะมันฟ้อง คำพูดน่ะมันบอก เรายืนยันตลอด พระผู้ประเสริฐ ประเสริฐที่เรารู้จริง ประเสริฐที่ในหัวใจของเราน่ะมันเป็นความจริง ขณะนี้ปัจจุบันหัวใจเรามันเป็นความปลอม หัวใจเรามันปลอม มันท้อแท้อ่อนแอ มันไม่มีคุณค่า เราก็พยายามฝืนทน พยายามฝืนทนน่ะ “ฝืน” การฝืนคือการต่อสู้กิเลส การฝืนเพราะกิเลสมันต้องการให้เราท้อแท้อ่อนแอ ให้เราเป็นคนมักง่าย ถ้าเราพยายามจะฝืนทนมัน แต่คนข้างนอกเขาก็จะบอกเลย..

ดูสิ หลวงปู่จวนน่ะ เวลาท่านภาวนาของท่าน ท่านเอากระดูกช้างแขวนคอ ท่านฉันหมากนะ แล้วท่านคายน้ำหมากออกมา นี่คนเขาไปเห็นเข้า พวกฆราวาสไปเห็นเข้า เพราะหลวงปู่จวนน่ะ ตอนอยู่ที่นั่นคอมมิวนิสต์เขาไม่ให้อยู่ หลวงปู่ขาวมาเอาออกไป แล้วไปอาศัยอยู่กับหลวงปู่ขาว ไปจำพรรษากับหลวงปู่ขาวมา แล้วหลวงปู่ขาวเป็นอาจารย์ แล้วหลวงปู่มั่นก็ฝากไว้กับหลวงปู่ขาว ทีนี้ประชาชนเขาเห็นเขาก็ไปฟ้องหลวงปู่ขาวว่า “หลวงปู่จวนวิปริตไปแล้ว เอากระดูกช้างแขวนคอ โอย.. แล้วก็พ่นน้ำหมากมานะ นี่วิปริตไปแล้ว..” ไปฟ้องหลวงปู่ขาว

หลวงปู่ขาวหัวเราะชอบใจ หลวงปู่ขาว โอ้โฮ.. ท่านดีใจมาก ท่านสอนลูกศิษย์ไปแล้วลูกศิษย์มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีการกระทำ เพราะหลวงปู่ขาวท่านเป็นพระอรหันต์! หลวงปู่ขาวท่านสอนไปเอง! หลวงปู่ขาวท่านสอนวิธีการให้หลวงปู่จวนทำอย่างนั้น เพราะเวลากามราคะมันเกิดขึ้นมา เราไม่มีกำลังสู้มันน่ะ เราต้องหาทางต่อสู้กับมัน หาทางเพื่อพิสูจน์กับมัน ให้หัวใจเข้มแข็งขึ้นมา แล้วหลวงปู่จวนก็พยายามหาทางต่อสู้.. นี่ความเพียรชอบ

“ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ”

แต่โลกเขาบอกว่าหลวงปู่จวนวิปลาส หลวงปู่จวนนี่.. โลกเขามองกันอย่างนั้น นี่พูดถึงถ้าเราประพฤติปฏิบัติ โลกเขาก็ว่าเรา เขาจะบอกเลยนะ “อัตตกิลมถานุโยค พระป่านี่ทำเกินกว่าเหตุ” แล้วเราก็อ่อนแอ เพราะจิตใจเราอ่อนแออยู่แล้ว จิตใจเราอ่อนแออยู่แล้ว จิตใจเราอยากจะสะดวกสบายอยู่แล้ว แล้วถ้ามีใครมาเสนอทางที่สะดวกทางที่สบาย ทุกคนมันก็ชอบ

แต่ทางที่สะดวกสบายมันทางลงนรก! ทางลงนรก! ทางขึ้นสวรรค์น่ะมันต้องปีนป่าย มันต้องต่อสู้! ทางลงนรกมันกลิ้งไปเฉยๆ เหมือนครกกลิ้งจากภูเขา กลิ้งลงนรกไป

เราจะไปทางไหน? เราจะเอาความจริงของเรา เราจะต่อสู้กับเรา

“พระผู้ประเสริฐ” ประเสริฐตรงนี้ ประเสริฐตรงมีจิตใต้สำนึก จิตสำนึกเรา จิตใต้สำนึก จิตสำนึกมีความเข้มแข็ง จิตสำนึกไม่เชื่อใครง่ายๆ นี่กาลามสูตร ไม่เชื่อเพราะอาจารย์สอน ไม่เชื่อๆ ไม่เชื่อหมดเลย.. เชื่อเพราะการพิสูจน์ นี่พระสารีบุตรไม่เชื่อใครเลย เห็นไหม เชื่อเพราะพิสูจน์มาจากใจ

“สารีบุตร เธอไม่เชื่อเราเลยเหรอ”

“โอ้.. เมื่อก่อนเชื่อ..” คำว่า “เมื่อก่อน” ถ้าเราไม่รู้ เราไม่มีหนทาง เรายังลังเลสงสัย เราไม่เชื่อใครได้อย่างไร ศรัทธานี่เป็นหัวรถจักร ศรัทธาเป็นอริยทรัพย์ ดึงให้เราเข้ามาศึกษาในศาสนา เรามีความเชื่อ เราศึกษาแล้วศึกษาค้นคว้า ความศรัทธาคือเทคนิควิธีการที่เราจะพยายามค้นหา แต่ผลของมันเราต้องทดสอบตรวจสอบ

“นี่เมื่อก่อนศรัทธามาก เชื่อมาก แต่ในปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าเชื่อความจริง ข้าพเจ้าประสบความจริงในหัวใจ ข้าพเจ้าเชื่อธรรมะอันนี้ต่างหาก”

“อื้อ.. ถูกต้อง! สารีบุตร เธอพูดถูกต้องๆ!”

“นี่ก็เหมือนอภิธรรมเปรี๊ยะเลย ลงกันได้พอดีเลย..” ..

นี่ไม่จริง ไม่จริง ความจริงต้องยืนยันมาว่าออกมาจากใจของตัว.. นี่ผู้ประเสริฐ ประเสริฐจากใจของเรา

“พระผู้ประเสริฐ” ประเสริฐจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเสริฐจากครูบาอาจารย์ ประเสริฐจากพ่อแม่ที่เป็นพระอรหันต์ของเรา เพราะเราเกิดมาจากพ่อแม่ ประเสริฐจากจิตของเราที่เราค้นคว้าหาใจของเราเจอ นี้เป็นผู้ประเสริฐในหัวใจของเรา นี่คือวันพระ เอวัง